‘6.6.66’ on-ion ผนึก Sand Haus เปิดให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ DC fast charger
ออน-ไอออน (on-ion) ภายใต้บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) รุกขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (on-ion EV Charging Station) ให้แข็งแกร่งและครอบคลุมมากขึ้น ณ โครงการแซนด์เฮาส์ เหม่งจ๋าย (Sand Haus) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV ให้พลังงานทางเลือกอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด พร้อมสนับสนุนให้คนไทยใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC normal charger) และชนิดกระแสตรง (DC fast charger) โดยพร้อมเปิดให้บริการ 6 มิถุนายน 2566 นี้
นายเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. โดยบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (ARUN PLUS) ได้เดินหน้าตามภารกิจในการขยายฐานธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร เพื่อร่วมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในทุกมิติ โดยเฉพาะการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จภายใต้แบรนด์ ออน- ไอออน (on-ion EV Charging Station) บนทำเลศักยภาพร่วมกับ “Sand Haus” คอมมิวนิตี้มอลล์แห่งใหม่ย่านเหม่งจ๋าย– ประชาอุทิศ ที่เดียวจบครบ ร้านของกิน คาเฟ่ คลินิก สถาบันเสริมพัฒนาการเด็ก และคอร์ดแบดขนาดใหญ่ เพื่อขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้ EV ด้วยพลังงานสะอาด
นางสาวนันทนัช ครองมงคลกุล ผู้บริหารโครงการแซนด์เฮาส์ กล่าวว่า การร่วมมือกับออน-ไอออนในครั้งนี้จะเป็นการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ EV มากยิ่งขึ้น สำหรับสถานี Sand Haus แห่งนี้ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 06.00 – 24.00 น. ให้บริการด้วยเครื่อง DC fast charger ขนาดกำลังไฟ 100 กิโลวัตต์ จำนวน 2 ช่องจอด สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV: Battery Electric Vehicle) ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ที่รองรับหัวชาร์จ CCS2 และให้บริการด้วยเครื่อง AC normal charger ขนาดกำลังไฟ 22 กิโลวัตต์ จำนวน 3 ช่องจอด รองรับรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV : Plug-in Hybrid) และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV: Battery Electric Vehicle) ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ที่มีหัวชาร์จ Type 2 ควบคุมการใช้งานผ่าน on-ion Mobile Application ทั้งในระบบ Android และ iOS
on-ion และ Sand Haus พร้อมส่งเสริมการใช้ EV อย่างเต็มรูปแบบ โดยมอบโปรโมชัน “ช้อป ช่วย ชาร์จ” ให้แก่ลูกค้าที่ใช้จ่ายในโครงการ Sand Haus เหม่งจ๋าย ครบ 500 บาทต่อวัน (รวมใบเสร็จได้) สามารถนำใบเสร็จมาแลกคูปองส่วนลดค่าบริการชาร์จ EV มูลค่าไม่เกิน 60 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2566 หรือจนกว่าจะครบจำนวนสิทธิ์ นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิพิเศษสำหรับวันเปิดตัววันแรก “6.6.66” เป็นส่วนลดค่าบริการชาร์จ EV พิเศษเพียง 6 บาทต่อหน่วยสำหรับ DC fast charger ในวันที่ 6 มิถุนายน 2566 วันเดียวเท่านั้น! (จากค่าบริการปกติ 9.5 บาทต่อหน่วย) เพิ่มเติมได้ที่ Call Center: 02-017-0022 หรือ Line: @onionev
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ฉะเชิงเทรา เขต 2 หนึ่งในว่าที่ ส.ส. พลังประชารัฐ ที่ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้แทนของชาวฉะเชิงเทรา และเป็นหนึ่งในผู้สมัครที่สามารถฝ่าการแข่งขันสูงในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ตนขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความเชื่อมั่นให้ได้ทำงานต่อเนื่อง ตนพร้อมทำงานทันที เพราะยังมีปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งประสบปัญหาราคากุ้งไม่สอดคล้องกับต้นทุนการเพาะเลี้ยง
ทั้งค่าอาหารและปูนในการเพาะเลี้ยงปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกษตรกรประสบปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เข้าร่วมประชุมหารือ กับกลุ่มเกษตรกร เพื่อวางแนวทางร่วมกัน ในการยกระดับราคากลางให้สูงขึ้น คุ้มค่ากับการลงทุนในการเพาะเลี้ยง ควบคู่กับการหาช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับเกษตรกรรายย่อยในระยะต่อไป เพื่อให้ได้ราคากุ้งที่เหมาะสมกับต้นทุน
“พื้นที่ฉะเชิงเทรา เป็นแหล่งผลิตกุ้งเลี้ยง อีกแห่งหนึ่ง ถือเป็นเศรษฐกิจพื้นฐานของจังหวัด ต้องได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาระยะยาว ให้เกษตรกรอยู่รอดได้”นายอรรถกร กล่าว
นายอรรถกร กล่าวต่อว่า เราต้องเร่งสานต่อนโยบายการแก้ปัญหาเรื่องน้ำในจังหวัด ทั้งการแก้ไขปัญหาน้ำเค็ม การจัดหาแหล่งน้ำจืด และลดปัญหาน้ำกร่อย พร้อมกับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้น้ำสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เพราะพื้นที่ฉะเชิงเทรา มีความหลากหลายทางอาชีพ นอกจากเกษตรกรรม ยังเป็นแหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมด้วย ทำให้ความต้องการใช้น้ำมีการปริมาณเติบโตอย่างต่อเนื่อง
‘ThaiBev’ จัดงาน THAIFEX-Anuga Asia 2023 อวดศักยภาพสุดยอดนวัตกรรมสินค้าไทย สู่สากล
(22 พ.ค. 66) ไทยเบฟ ตอกย้ำความเป็นผู้นำธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มครบวงจรของภูมิภาคอาเซียน (Stable and Sustainable ASEAN Leader) ที่เตรียมจัดแสดงสุดยอดนวัตกรรมสินค้า เชิญชวนให้นักลงทุน นักธุรกิจ ทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้สัมผัสศักยภาพขององค์กรเอกชนไทย กับมหกรรมกองทัพสินค้าคุณภาพในกลุ่มไทยเบฟ มาจัดแสดงพร้อมจำหน่ายในราคาสุดพิเศษ พร้อมชมนิทรรศการของไทยเบฟ ที่แสดงศักยภาพธุรกิจที่เติบโตควบคู่ไปกับการคำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การสรรสร้างผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่หลากหลายทุกช่วงวัย พร้อมชวนดื่มชิมผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและอาหาร สนุกไปกับกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ในงานแสดงสินค้าภาคอุตสาหกรรมอาหารที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในเอเชีย กับผู้ร่วมแสดงสินค้ากว่า 2,700 ราย จาก 40 ประเทศ และคู่ค้าที่จะเข้ามาชมงานกว่า 60,000 ราย จาก 120 ประเทศ ในงาน THAIFEX-Anuga Asia 2023 ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้า อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 นี้
เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกมิติ ในแบบที่คุณไม่ควรพลาด พบกับบูทไทยเบฟในงาน THAIFEX-ANUGA ASIA 2023 Zone DRINKS ได้ตั้งแต่วันที่ 23- 27 พ.ค. 66 เวลา 10.00-20.00 น. ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพคเมืองทองธานี
‘เบิร์ด’ ธงไชย แมคอินไตย์ มาใช้สิทธิเลือกตั้ง พร้อมชวนคนไทย ให้มาออกเสียง
เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ หรือ พี่เบิร์ด ตบเท้าเข้าคูหาใช้สิทธิการเลือกตั้ง บริเวณหน่วยเลือกตั้งที่ 60 เต็นท์บริเวณชุมชนหมู่บ้านสุขใจ ซอยวชิรธรรมสาธิต 43 สุขุมวิท 101/1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง โดย "พี่เบิร์ด" ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า "พี่เบิร์ดอยากให้ทุกคนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ออกมาใช้เสียงของตัวเอง รักใครชอบใคร มีความคิดต่างกันก็ขอให้ออกมาใช้สิทธิ เราเป็นคนไทย ก่อนมาพี่เบิร์ดก็เตรียมตัวว่ามีข้อห้ามอะไรบ้าง เชิญชวนเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะมีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิกันเยอะ ๆ นะครับ"
‘แอนนี่ บรู๊ค’ ได้ไปออกรายการโต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกร ‘หนูแหม่ม สุริวิภา’
จากกรณีที่ ‘แอนนี่ บรู๊ค’ ได้ไปออกรายการโต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกร ‘หนูแหม่ม สุริวิภา’ โดยเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ เป็นการแชร์ประสบการณ์ชีวิต ความเป็นซิงเกิลมัม หรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ต้องมีความแข็งแกร่ง และทำงานหนัก เพื่อหาเงินเลี้ยงลูก พร้อมบอกเล่าถึงความลำบากว่า กว่าจะมีวันนี้ ต้องกินน้ำก๊อกสู้ชีวิตต่างแดน และขายเกมส์ลูกเก็บ เพื่อเงินไว้ให้ลูกได้เรียน
แต่ทว่า เมื่อสัมภาษณ์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป ปรากฏว่าเกิดกระแสตีกลับ โดยมีชาวเน็ตจำนวนมาก ออกมาคอมเมนท์ไปในทิศทางเดียวกันว่า “การกระทำของแอนนี่ บรู๊ค ในอดีตได้ทำลายชีวิตผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังมีอนาคตสดใส กลับต้องพังทลายลงในพริบตา”
สิ่งที่ชาวเน็ตได้ออกมาคอมเมนท์นั้น ต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ซึ่งในขณะนั้น แอนนี่ บรู๊ค ได้เกิดตั้งท้องและให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งก็คือ น้องฑีฆายุ โดยแอนนี่ ได้อ้างว่า ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์’ เป็นพ่อของเด็ก
พลันที่ แอนนี่ บรู๊ค ออกมาให้ข่าวถึงคนที่เป็นพ่อของเด็ก ทำให้อนาคตของฟิล์ม ซึ่งเป็นดารานักร้องมากความสามารถและกำลังโด่งดังสุดขีด ต้องดับวูบลงทันที
แม้เหตุการณ์จะผ่านมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่แฟนคลับและคนที่เห็นใจฟิล์มยังจดจำได้ดี เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก ที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องมาเผชิญชะตากรรมและไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้วยเหตุว่า แอนนี่ บรู๊ค ไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ความจริงว่า ฟิล์มเป็นพ่อของเด็กจริงหรือไม่ แต่กลับปล่อยให้สังคมคาใจ
ขณะเดียวกัน ยังได้เรียกร้องและรับค่าเลี้ยงดูลูกมานานหลายปี ถึงแม้ตัวฟิล์มเองจะมั่นใจว่าตนเองไม่ใชพ่อของเด็ก แต่ก็ยินดีส่งเสียเลี้ยงดู ท่ามกลางชะตาชีวิตที่ยากลำบาก เพราะงานในวงการบันเทิงหดหายไปอย่างมากก็ตาม
แต่สุดท้าย ความจริงก็ปรากฏ เมื่อ แอนนี่ บรู๊ค ออกมาสารภาพเองว่า ฟิล์ม ไม่ใช่พ่อของน้องฑีฆายุ แต่ก็ปล่อยให้เวลาเนิ่นนานมาจนลูกชายอายุ 7-8 ขวบ
แน่นอนว่า เมื่อแอนนี่ บรู๊ค ยอมเปิดเผยความจริง เรื่องนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนคลับของฟิล์มอย่างมาก ถึงขั้นออกมาเรียกร้องความยุติธรรมผ่านทางโซเชียลมีเดีย ด้วยการติดแฮชแท็ก #ขอความเป็นธรรมให้ฟิล์มรัฐภูมิ พร้อมกับแนะนำให้ฟิล์ม ฟ้องเรียกร้องค่าเลี้ยงดูคืน จนกลายเป็นกระแสโด่งดังเมื่อราว 5 ปีก่อน
แต่อย่างไรก็ตาม กลับเป็นตัว ฟิล์ม รัฐภูมิเอง ที่เป็นคนออกมายุติเรื่องนี้ และวอนแฟนคลับให้หยุดรื้อฟื้นถึงเรื่องเก่าที่เกิดขึ้น เพราะไม่อยากให้ส่งผลกระทบต่อน้องฑีฆายุ ส่วนค่าเลี้ยงดูนั้นไม่ขอเรียกร้องคืน เนื่องจากตนเองก็มีส่วนทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ หากใครที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด จะเห็นว่า ฟิล์ม รัฐภูมิ ออกมาปฏิเสธตั้งแต่วันแรก เพราะมั่นใจในตัวเองว่าไม่ใช่พ่อของเด็กแน่นอน พร้อมกับขอตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ความชัดเจน แต่ก็ถูกแอนนี่ บรู๊ค ปฏิเสธ เมื่อเป็นเช่นนั้น ฟิล์ม ซึ่งมีความเป็นลูกผู้ชายมากพอ จึงยินดีส่งเสียค่าเลี้ยงดูตลอดมา และพยายามไม่ให้เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบกับเด็ก แต่สุดท้ายความจริงก็คือความจริง.....
และแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลร้ายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง หน้าที่การงาน และความทุกข์ใจของคนรอบข้าง แต่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นลูกผู้ชายของคนที่ชื่อ ‘ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์’ ได้เป็นอย่างดี...
อ้างอิง : https://www.sanook.com/news/8841606
ปตท. เผยผลประกอบการไตรมาส 1/2566 เป็นไปตามแผนธุรกิจ ใช้งบกว่า 20,000 ล้านบาท ฟื้นฟูประเทศหลังโควิด
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบในกลุ่มประเทศ OPEC และชาติพันธมิตร จนถึงสิ้นปี 2566 และเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว ส่งผลให้ไตรมาส 1 ปี 2566 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) ที่ 104,008 ล้านบาท ลดลง 36,904 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.2 จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่จำนวน 140,912 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น
ซึ่งมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง เช่น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ ที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงเกือบทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีในตลาดที่ใช้อ้างอิง ประกอบกับปริมาณการขายลดลงและต้นทุนค่าเนื้อก๊าซสูงขึ้น สำหรับกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ที่ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ส่งผลให้ ปตท. และบริษัทย่อยในไตรมาส 1 ปี 2566 มีกำไรสุทธิจำนวน 27,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,063 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.4 จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่จำนวน 24,792 ล้านบาท
ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ยึดมั่นพันธกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และประเทศให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 – 2565 ได้ใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบของภาคประชาชนจากวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาทิ การสำรองน้ำมัน 4 ล้านบาร์เรล การตรึงราคา NGV การช่วยเหลือราคา LPG แก่หาบเร่แผงลอยผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และการขยายเทอมการชำระเงินแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า FT เป็นต้น
ทั้งนี้ ปตท. เร่งเดินหน้ากลยุทธ์ “ปรับ เปลี่ยน ปลูก” เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ในปี 2583 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายใน ปี 2593 ด้วยการทำงานเชิงรุก ปรับกระบวนการผลิต พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ พร้อมเปลี่ยน สู่ธุรกิจพลังงานสะอาด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขยายสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน เพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการ ปลูกป่าเพิ่ม 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อการมีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า ส่งเสริมอาชีพ และรายได้ของชุมชนในพื้นที่ ในอนาคตพื้นที่ป่าเหล่านี้จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 4.15 ล้านตัน/ปี
“ปตท. มุ่งมั่นดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย สนับสนุนการใช้พลังงานแห่งอนาคต สร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ พร้อมศึกษาพลังงานไฮโดรเจน และพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นแรงสำคัญขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพลิกฟื้นผืนป่าให้อุดมสมบูรณ์ นำพาประเทศบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions ได้อย่างยั่งยืนต่อไป” นายอรรถพล กล่าวเสริม
.
คิดก่อนกา!! วิเคราะห์ฉากทัศน์ ‘ทิศทางประเทศไทย’ ภายใต้ขั้วรัฐบาล ‘อนุรักษ์นิยม vs เสรีนิยม’
นับถอยหลังจากนี้เหลือเวลาเพียงไม่อีกกี่วันก็จะถึง "การเลือกตั้งปี 2566" ที่จะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ขณะที่มีการประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนจะตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างคึกคัก มากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562
ทั้งนี้ เห็นได้จากการเลือกตั้งนอกเขตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนกว่า 2 ล้านคน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กว่า 90%
ขณะที่ ในสนามการเลือกตั้งต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยในภาพใหญ่เป็นการแข่งขันกันระหว่าง 2 ขั้วที่เรียกว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือ พรรคฟากรัฐบาล ที่นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับฝ่ายเสรีนิยม หรือ ฟากฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล
เมื่อดูตามผลโพลของสำนักต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ พบว่าฝ่ายเสรีนิยมมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมสูงกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกระแสความนิยมในตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ที่มีคะแนนนิยมพุ่งอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันฝ่ายเสรีนิยม 2 พรรคที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมรวมกันมากถึง 68-84%
แต่ทว่า การจัดตั้งรัฐบาลนั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพราะพรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 อาจไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ ซึ่งได้ปรากฏให้เห็นแล้วเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา
.
ส่วนการฉากทัศน์หลังการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองประเทศไทยอย่างไร หากพรรคอย่างกระแสแรงอย่าง พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
หากว่ากันตามระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้พรรคมีคะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นไปได้ที่ พรรคเพื่อไทย จะได้เป็นรัฐบาล แต่จากการประเมินกระแสล่าสุด แม้ว่า เพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงเยอะที่สุด แต่ก็ยังไม่ถึงกับแลนด์สไลด์ตามเป้า
ดังนั้น หากเพื่อไทย อยากเป็นรัฐบาล ต้องได้ ส.ส. 376 ขึ้นไป จึงจำเป็นต้องไปดึงพันธมิตรฝ่ายที่คุยกันรู้เรื่องมาก่อน ซึ่งก็น่าจะเป็น ‘ก้าวไกล’ เพราะอย่างน้อยเคยร่วมเป็นฝ่ายค้านมาถึง 4 ปี และถือว่าอยู่ในขั้วเสรีนิยมด้วยกัน รวมถึงพรรคเล็ก ๆ ในฝั่งเดียวกัน แต่หากเสียงยังไม่พอ อาจต้องถึงพรรคต่างขั้วมาร่วม เพราะมีพรรคที่พร้อมเข้าร่วมแต่ขอให้ได้เป็นรัฐบาล
ถ้าเสียงยังไม่พอ อาจจะต้องพึ่งเสียง ส.ว.มาเพิ่มอีก เพื่อรวมเสียงทั้งหมดให้ได้ 376 ขึ้นไป แต่อย่างไรก็ดี หากเพื่อไทยได้เก้าอี้ ส.ส. ไม่เยอะจริง อาจจะถูกต่อรองเก้าอี้กระทรวงสำคัญ ไปถึงขั้นเก้าอี้ ‘นายกรัฐมนตรี’ และเป็นไปได้ที่เพื่อไทยอาจจะยอม เพราะต้องการเป็นรัฐบาลไว้ก่อน เนื่องจากห่างหายมานาน และยังมีเรื่องสำคัญคือ การพา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้คือความหวังและอาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของทักษิณ หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล
ท้ายที่สุด ถ้าเพื่อไทย - ก้าวไกล และพรรคร่วมสามารถตกลงจัดสรรตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้อย่างลงตัว ในแง่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาจจะทำได้ทันที ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน อาจจะเกิดเหตุชุมนุมทางการเมืองขนาดเล็ก จากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามบ้างในช่วงแรกของการเป็นรัฐบาล
แต่ในกรณีที่ฝั่งอนุรักษ์นิยม นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิมรวมเสียงกันได้เกิน 126 เสียง บวกกับ ส.ว.อีก 250 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเหมือนเมื่อครั้งปี 2562 ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้เป็นนายกฯ ต่อไป เพราะมีแต้มต่ออยู่ที่ ส.ว. เพียงแต่มีเงื่อนไขพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องได้ ส.ส. 25 เสียงขึ้นไป
ถ้าโฉมหน้าการเมืองหลังเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ ในแง่การบริหารราชการแผ่นดินคงไม่ต่างไปจากเดิม แต่จะเกิดการต่อรองทางการเมืองสูง และเสถียรภาพของรัฐบาลจะไม่มั่นคง เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย การผลักดันกฎหมายจะทำได้ยาก มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบ 4 ปี แม้ว่าจะหลังจากตั้งรัฐบาลเสร็จ จะมี ส.ส.ย้ายพรรคมาร่วมด้วยก็ตาม
และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า พลเอกประยุทธ์ จะเหลือวาระการดำรงตำแหน่งอีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ยกเว้นจะไปแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อครบวาระแล้ว หลังจากนั้นจะให้ใครขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกฯ แทน ตรงนี้อาจจะต้องกำหนดให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
แน่นอนว่า รัฐบาลจะมีความเปราะบางสูง เป็นต้นว่า หาก พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ผ่าน ก็ความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีความเสี่ยงถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจสูง นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเกิดการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เพราะภาพความเป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาดของพลเอกประยุทธ์ เชื่อว่าจะไม่ยอมเจรจากับฝ่ายใดง่าย ๆ และหากเกิดภาพเช่นนี้จริง จะยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างการฟื้นตัว
แต่หากฝ่ายอนุรักษ์นิยม มองว่า พลเอกประยุทธ์ เหลือเวลาอีกเพียง 2 ปี ไม่เหมาะนั่งนายกฯต่อ หันมาสนับสนุนให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทน ก็จะเป็นการวนไปสู่ภาพของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ แต่จะต่างกันที่ในครั้งนี้ฐานเสียงไม่แน่นเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะอดีต ส.ส. จำนวนหนึ่งได้ย้ายออกไปสังกัดพรรคอื่นแล้ว
เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ การต่อรองทางการเมืองที่สูงมาก เสถียรภาพรัฐบาลไม่มั่นคง และอาจจะมีการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองตามมา แต่ความรุนแรงอาจจะแตกต่างกัน เพราะด้วยบุคลิกของพลเอกประวิตร ที่มีความประนีประนอมมากกว่านั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ผลสรุปของการเมืองหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ และโฉมหน้ารัฐบาลจะออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหน้าใหม่ หรือหน้าเก่า อำนาจส่วนหนึ่งอยู่ที่ปลายปากกาของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่จะเป็นส่วนสำคัญร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ
ปตท. ผนึก JERA นำร่องพัฒนาธุรกิจไฮโดรเจน และ แอมโมเนีย ในไทย มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions 2050
ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการริเริ่มการขยายห่วงโซ่อุปทานและการใช้ประโยชน์จากไฮโดรเจนและแอมโมเนีย เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย
โดยมี ดร.ยุทธนา สุวรรณโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สถาบันนวัตกรรม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ Mr. Toshiro Kudama (โทชิโระ คุดามะ) Senior Managing Executive Officer และ CEO JERA Asia บริษัท JERA Co., Inc. (JERA) ร่วมลงนาม พร้อมทั้งผู้บริหารของทั้งสององค์กรร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งศึกษาแนวทางการพัฒนาธุรกิจ และการใช้ไฮโดรเจนและแอมโมเนียในรูปแบบต่าง ๆ
เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนในอนาคต ตอกย้ำว่า ปตท. พร้อมเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืน
น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ผู้สมัคร ส.ส.พระโขนง บางนา หมายเลข 6 พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงปัญหาค่าขนส่งผู้ค้าออนไลน์ว่า ปัจจุบันการซื้อสินค้าจากประเทศจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้ค้าจีนสามารถส่งส่งสินค้ามาถึงผู้ซื้อในไทย ค่าส่งเพียง 20 บาท ค่าส่งสินค้าที่สูงเป็นปัญหาใหญ่ที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์คนไทยกำลังประสบกันอยู่ เพราะบางครั้งค่าส่งสินค้าภายในประเทศยังเสียค่าส่งแพงกว่านี้
รัฐบาลจีนให้ความสำคัญและผลักดันธุรกิจค้าปลีก e-commerce ของจีนจนสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด หนึ่งในเครื่องมือที่ทำให้ผู้ค้าปลีกออนไลน์จีนสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ คือค่าขนส่งสินค้าไปต่างประเทศที่ถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทำให้ผู้ค้าจีนได้เปรียบผู้ค้าประเทศอื่น ๆ ด้านราคาเมื่อคิดรวมค่าขนส่งกับค่าสินค้าเข้าด้วยกัน โดยรัฐบาลจีนให้ความช่วยเหลือผู้ค้าในส่วนนี้ โดยการสนับสนุนค่าส่งสินค้าไปต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์ม, ผลักดันเรื่องการบริหารจัดการระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ, ควบคุมราคาค่าส่งสินค้าให้มีความเหมาะสม, ร่วมกับการเจรจาลดหย่อนภาษีนำเข้า-ส่งออกกับประเทศคู่ค้า
ในทางกลับกันประเทศไทยมีสินค้าไทย ที่ได้รับความที่นิยมจากลูกค้าชาวจีนและประเทศอื่นๆ จำนวนมาก แต่หากคนไทยขายของออนไลน์ส่งไปต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน กลับต้องเสียค่าขนส่งสูงกว่าจากจีนมาไทยหลายเท่า เป็นปัญหาที่ดับฝันโอกาสทางธุรกิจของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์รายย่อยชาวไทยในการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มไปสู่ตลาดโลกอย่างสิ้นเชิง
ในครั้งนี้หากได้มีโอกาสได้เข้าไปเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ประเด็นการค้าขายออนไลน์ เป็นประเด็นสำคัญที่อยากจะผลักดัน โดยหนึ่งในนั้นคือการปลดล็อค ลดค่าขนส่งสินค้ารายย่อยระหว่างเทศ เพื่อติดปีก e-Commerce ไทย สนับสนุนให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไทยให้แข่งขันได้ในระดับสากล
ดร.หิมาลัย’ ย้ำชัด ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ทำการเมืองตามอุดมการณ์ พร้อมยึดมั่นในหลักการ “ปกป้องสถาบัน รับใช้ชาติและประชาชน” ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และใช้งบประมาณตามกรอบกฎหมาย หลังมีผู้สมัครส.ส.ของพรรค ออกมาเรียกร้องให้ดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย
ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ภาคอีสาน ออกมาเรียกร้องให้พรรคดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ว่า วันนี้ ตนในฐานะผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับมอบหมายให้มารับฟังข้อเรียกร้องของพวกท่าน เพื่อนำไปเรียนผู้ใหญ่ของพรรค ว่าพรรคมีข้อผิดพลาดอย่างไรในการดำเนินงาน ตามอุดมการณ์ของพรรค และมีนโยบายเรื่องใดที่จะต้องนำไปแก้ไข
แต่อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคเพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งไม่ได้มีทุนทรัพย์มาก เงินบริจาคที่ได้รับมา จึงต้อง ใช้ในการทำกิจกรรมทางการเมืองของพรรคอย่างประหยัดและระมัดระวัง อีกทั้ง พรรคไม่สนับสนุนการซื้อสิทธิขายเสียง ด้วยเป้าหมายต้องการทำการเมืองอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม กระทำการหาเสียงด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตามกติกาของ กกต. และรัฐธรรมนูญ ซึ่งการดำเนินงานตามนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้งบประมาณจำนวนมากแต่อย่างใด
อีกทั้ง พรรคการเมืองเป็นที่รวบรวมคนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนกัน ไม่ใช้สถาบันทางการเงิน เพื่อสนับสนุนการลงทุนให้ผู้สมัคร ผู้ที่เสนอตัวเพื่อมารับใช้แบ่งเบาภาระของพ่อแม่พี่น้อง จึงควรเป็นผู้ที่มีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน เพื่อไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด ส่วนเรื่องปประมาณ ท่านก็ควรจะทราบว่าท่านมีงบประมาณอยู่เท่าไร ซึ่งต้องเป็นไปตามกฎกติกาของ กกต. ก็ควรจะบริหารให้อยู่ในกรอบที่ตัวเองรับได้ และไม่เดือดร้อน
ดร.หิมาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า พรรค รทสช.บริหารตามอุดมการณ์ทางการเมือง ด้วยความศรัทธาจากประชาชนและผู้สนับสนุนพรรค ไม่มีกิจกรรมอื่นใดที่จะไปเรียกรับผลประโยชน์จากกลุ่มทุนต่าง ๆ ได้ ประชาชนจึงมั่นใจได้ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ สามารถบริหารประเทศรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนโดยปราศจากการแทรกแซงจากกลุ่มอิทธิพลใดๆ ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะเสนอตัวเข้ามาสมัครจึงควรจะศึกษาแนวทางและอุดมการณ์ของพรรคให้ดีเสียก่อน ผู้ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคนี้ เป็นผู้มีชื่อเสียงเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต อะไรที่ผิดๆ ทางผู้ใหญ่ของพรรคไม่ทำแน่นอน ดังนี้นเราจึงไม่ได้มีเงินมากมายอย่างที่พวกท่านคิด
“ต้องขอโทษผู้สมัครทุกท่านที่มาในวันนี้ด้วย ที่การคาดหวังของท่านในบางสิ่งบางอย่างที่อยู่นอกกติกาของ กกต.ทางพรรคไม่สามารถสนองตอบได้ รวมไทยสร้างชาติ ต้องการทำการเมืองที่โปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม เพื่อมุ่งสู่อุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค ตามอุดมคติที่ว่า
"รวมไทยสร้างชาติ ปกป้องสถาบัน รับใช้ชาติและประชาชน"” ดร.หิมาลัย กล่าว
สานพลัง ร่วมกับ กลุ่ม ปตท. เปิดตัว สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon
บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผสานความร่วมมือกับ กลุ่ม ปตท. เปิดตัวโครงการ สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon เฟ้นหาสุดยอดไอเดียนวัตกรรมมุ่งช่วยแก้ปัญหาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมจากความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ พร้อมต่อยอดไอเดียไปสู่ธุรกิจเพื่อสังคม ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมแห่งความยั่งยืน
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด มุ่งมั่นสร้างความเข้มแข็งให้สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาและตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาของสังคม จึงได้รวมพลังความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. จัดโครงการ สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon เพื่อเฟ้นหาและช่วยปั้นสุดยอดไอเดียนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนให้สามารถแก้ไขปัญหาในสังคมได้จริงโดยใช้จุดแข็งของ กลุ่ม ปตท. ในการสร้างโซลูชัน 4 โจทย์หลัก ได้แก่
● Sustainable Cities: การพัฒนาเมืองยั่งยืน
● Good Health & Wellbeing: การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
● Local Economic Development: การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น
● Environment: สิ่งแวดล้อม และสภาวะโลกร้อน
ระหว่างโครงการผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะมีโอกาสร่วมเวิร์กชอปการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคมในเชิงธุรกิจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทในกลุ่ม ปตท. และองค์กรพันธมิตรชั้นนำระดับประเทศ ร่วมกับไรส์ (RISE) สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร มาเป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิดตลอดโครงการ ซึ่งหากได้รับคัดเลือกเป็น 4 ทีมสุดท้าย จะมีโอกาสได้รับเงินรางวัลและเงินทุนตั้งต้นในการร่วมกระบวนการทดสอบไอเดียธุรกิจ Proof of Concept (POC) กับบริษัทในกลุ่ม ปตท. เพื่อพัฒนาไอเดียให้สามารถออกสู่ตลาดและแก้ไขปัญหาสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมได้จริง รวมมูลค่ากว่า 540,000 บาท
สำหรับโครงการ สานพลัง x PTT Group Young Socialpreneur Hackathon เปิดรับไอเดียนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่ นักศึกษา บุคคลทั่วไป เเละ Startup (ที่ยังไม่จดเป็นนิติบุคคล) ซึ่งผู้ที่สนใจรับฟังรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม สามารถเข้าร่วม Open House ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. โดยมีผู้บริหารจากบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด และบริษัทในกลุ่ม ปตท. ร่วมให้ข้อมูล พร้อมชวนรับฟังเสวนาในหัวข้อ Powering Life with Social Innovations จากผู้นำรุ่นใหม่ที่มีบทบาทโดดเด่นด้วยการพัฒนาตามหัวข้อ 4 โจทย์หลัก ได้แก่ ด้านการพัฒนาเมืองจาก Mayday ด้านสิ่งแวดล้อมจาก Refill Station ด้านสุขภาพจาก Younghappy และด้านเศรษฐกิจท้องถิ่นจาก Roots Incubation Program
โครงการฯ เปิดรับสมัคร ตั้งแต่วันนี้ - 26 พฤษภาคม 2566 ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ https://forms.gle/yMTvnQV5n7ooH1BTA และผู้ที่สนใจเข้าร่วม Open House ในวันที่ 20 พฤษภาคม ลงทะเบียนได้ที่ https://rise-global.typeform.com/to/RNi5WvOx ทั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมเพิ่มเติมได้ผ่านทาง Facebook : PTT News และ Facebook: สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม
วันที่ 8 พ.ค.2566- นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร เขต 22 เบอร์ 1 พรรคพลังประชารัฐ ได้ลงพื้นที่ปราศรัยกับพี่น้องชาวสวนหลวง ที่ศูนย์ยีซา ซอยปานเหล็ง โดยการปราศรัยในครั้งนี้ นายชัยวุฒิ ได้ขอบคุณพี่น้องชาวสวนหลวงที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ และมั่นใจว่าเขตนี้ฟิล์มจะได้รับการเลือกจากประชาชน ได้เป็น ส.ส. เขตสวนหลวง
ด้านนายรัฐภูมิ กล่าวว่า ทุกคนไม่ต้องห่วงโตมาต้องมั่งคงใครที่มีรายได้ไม่ถึง 5 แสนบาทไม่ต้องเสียภาษี พร้อมชูนโยบายสวัสดิการผู้สูงอายุ “3 4 5 6 7 8″ โดยผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะได้รับ 3,000 บาท อายุ 70 ปีขึ้นไป จะได้รับ 4,000 บาท และอายุ 80 ปีขึ้นไปจะได้รับ 5,000 บาท อีกทั้งบัตรสวัสดิการรัฐหรือบัตรประชารัฐ ที่เมื่อก่อนได้รับ 300 บาท
ถ้าพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลจะเพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ฟิล์มยังได้ขอกำลังใจจากพี่น้องประชาชนเขตสวนหลวง และทิ้งวลีเด็ดส่งท้ายว่า “วันนี้กระแสพรรคนั้นอยู่ไม่นาน แต่ถ้าทุกคนเลือกคนที่ทำงาน ผมจะอยู่กับพ่อแม่พี่น้องตลอดไป” พร้อมเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิ ใช้เสียงเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ เป็นกำลังใจให้ฟิล์ม บัตรสีม่วงกาเบอร์ 1 เลือกฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เขต 22 ส่วนใครชื่นชอบนโยบายพรรคพลังประชารัฐ บัตรสีเขียวกาเบอร์ 37
ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent เฉลี่ยสัปดาห์สิ้นสุด 5 พ.ค. 66 ลดลง 5.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 74.95 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงและเปลี่ยนไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย จากความวิตกกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอาจเข้าสู่สภาวะถดถอย ทั้งในภาคงบประมาณ การเงิน และการธนาคาร อาทิ
วันที่ 4 พ.ค. 66 หุ้น PacWest Bancorp ลดลง 51% แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังธนาคารเปิดเผยว่าอาจพิจารณาเพิ่มทุนหรือขายกิจการ, หุ้น Western Alliance Bancorp ลดลง 38% ขณะที่ธนาคารยืนยันสถานะทางการเงินว่ายังไม่ต้องขายกิจการ, หุ้น First Horizon ลดลง 33% ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2551 หลัง Dominion Bank ของแคนาดายุติการเจรจาซื้อกิจการ
ทางด้านนักวิเคราะห์ Reuters คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve: Fed) อาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และนักลงทุนคาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ก.ย. 66
ทั้งนี้วันที่ 3 พ.ค. 66 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 5.0-5.25% และจะมีการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 13-14 มิ.ย. 66
คาดว่าราคา ICE Brent ในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 70-80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Joe Biden มีแผนหารือร่วมกับแกนนำรัฐสภา 4 ท่าน ในวันที่ 9 พ.ค. 66 ทั้งฝั่งวุฒิสภา ได้แก่ นาย Chuck Schumer (Democratic Senator - Majority Leader), นาย Mitch McConnell (Senate Republican leader) และฝั่งสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ นาย Kevin McCarthy (Speaker of the House - Republican), และนาย Hakeem Jeffries (House Minority Leader) ในประเด็นการใช้จ่ายงบประมาณ และขยายเพดานหนี้
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ
• 4 พ.ค. 66 ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ (Deposit Facility Rate) มาอยู่ที่ 3.25% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ (Marginal Lending Facility Rate) มาอยู่ที่ 4%
• National Bureau of Statistics (NBS) ของจีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing Purchasing Manager's Index: PMI) ในเดือน เม.ย. 66 จากเดือนก่อนลดลง 2.7 จุด อยู่ที่ 49.2 จุด ลดลงครั้งแรกตั้งแต่เดือน ธ.ค. 65
• Kpler รายงานรัสเซียส่งออกน้ำมันดิบสู่เอเชียทางทะเลในเดือน เม.ย. 66 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 76,000 บาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 3.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงบวก
• Argus รายงาน OPEC และพันธมิตร (OPEC+) รวม 19 ประเทศ ผลิตน้ำมันดิบในเดือน เม.ย. 66 ลดลง 200,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนก่อน มาอยู่ที่ 37.70 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ข้อตกลงของ OPEC+ อยู่ที่ 40.10 ล้านบาร์เรลต่อวัน
• Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐฯ ในปี 2566 จากปีก่อนมาอยู่ที่ +1.6% (จากเดิมที่ +1.4% จากปีก่อน) โดยคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ระดับ 5-5.25% คือระดับสูงสุดในปีนี้ โดย Fed จะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก นอกจากนี้ ยังคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
• EIA รายงานสหรัฐฯ ส่งออกน้ำมันดิบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 28 เม.ย. 66 ลดลง 82,000 บาร์เรลต่อวันจากสัปดาห์ก่อนอยู่ที่ 4.74 ล้านบาร์เรลต่อวัน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้กล่าวว่า จากนี้ไปไม่ว่าจะพบแพทย์จ่ายยา หรือดูแลรักษา จะสามารถเข้าถึงที่บ้านของคนไทยทั่วประเทศ แม้ในพื้นที่ห่างไกล
เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ได้ใกล้ชิดหมอมากกว่าเดิม พรรคพลังประชารัฐจะใช้เทคโนโลยีทางไกล เชื่อมต่อทุกบริการทางการแพทย์ คนไทยจะใกล้หมอแค่ปลายนิ้ว เจ็บป่วยจะจัดการได้ด้วยโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว
นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีการพาดพิงการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ที่จำหน่ายให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในราคาที่ถูกกว่าโรงไฟฟ้าเป็นสาเหตุให้ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ดังนี้
การจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นสัดส่วนเพียง 20% ใช้ในภาคอุตสาหกรรมขนส่งและครัวเรือนประมาณ 30% และใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า 50% ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ดำเนินการมากว่า 40 ปี ปริมาณสำรอง และปริมาณการผลิตลดลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
จำเป็นต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเพื่อนบ้านและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากแหล่งต่างๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ ราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ต้นทุนราคาเนื้อก๊าซเดียวกัน สำหรับในส่วนที่ต้องจัดหาเชื้อเพลิงเพิ่มเติมเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า หรือวัตถุดิบเพิ่มเติมในแต่ละผลิตภัณฑ์จะเป็นไปตามปัจจัยสถานการณ์ตลาดพลังงานโลก และตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นอุตสาหกรรมหลักในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดย กลุ่ม ปตท. ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับก๊าซธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทนการนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว อุตสาหกรรมปิโตรเคมีก่อให้เกิดการจ้างงาน ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 10 – 25 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาทต่อปี
นายวุฒิกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ตลอดระยะเวลาของวิกฤตโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานปรับเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการผลิตพลังงานในตลาดโลก ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติได้ร่วมแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมรองรับปริมาณความต้องการของประเทศทั้งในภาคประชาชน การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เป็นจำนวนเงินรวมกว่า 20,000 ล้านบาท (การช่วยเหลือระหว่างปี 2563 - 2565)
เช่น การสำรองน้ำมัน 4 ล้านบาร์เรล การตรึงราคา NGV การช่วยเหลือราคา LPG แก่หาบเร่แผงลอยผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และการขยายเครดิตเทอมแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า FT เป็นต้น โดย ปตท. ให้ความสำคัญในการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนอย่างสมดุล”